Usability Testing คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรและควรใช้เมื่อใด วันนี้ Unblock Design จะมาไขข้อสงสัยกัน
Usability Testing กล่าวสั้นๆคือ การทดสอบความยากง่ายของ Productโดยที่ผู้ทำการทดสอบ (Facilitator) สังเกตผู้เข้าร่วม (Participant) ที่คาดว่าจะเป็น Target Users พยายามจะใช้ Product ที่เรากำลังจะสร้างขึ้นโดยการกำหนดเป้าหมายให้ผู้เข้าร่วมทำให้สำเร็จตามแต่ละ Task และเฝ้าสังเกตว่ามีวิธีการคิดการตัดสินใจ การใช้งาน Product ของเราอย่างไร ที่จะทำให้ Task นั้นสำเร็จ ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น Usablility Testing ก็คือขั้นตอนที่เราจะ Measure และ Learn ก่อนที่จะนำไปปรับปรุง Product ของเราให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น และเป็นไปตามที่เรากำหนดเป้าหมายไว้ในตอนแรกนั่นเอง
หัวใจของการทำ Usability Testing คือทดสอบความยากง่าย และนำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบไปพัฒนา โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ Product เสร็จสมบูรณ์แล้วค่อยนำไปทดสอบ เพราะการพบปัญหาไวและแก้ไขได้ไวนับเป็นเรื่องที่ดีกว่า
และหลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้า Product เราไม่เสร็จสมบูรณ์จริงๆ เราจะมีวิธีการในการทำ Usability Testing อย่างไร คำตอบคือ ทำได้ทั้งแบบ Hi-fidelity Prototype และ Low-fidelity Prototype ขึ้นมาให้ผู้ใช้ได้ทดลองก่อน โดย Unblock Design ของยกตัวอย่างคร่าว ๆ ของ Prototype ทั้งสองให้เห็นภาพดังนี้
Hi-fidelity: คือ Prototype แบบที่มีความสมจริง สามารถทดสอบ User Interaction ได้ มีฟังก์ชัน และการโต้ตอบ มีความคล้ายคลึงกับงาน Final ตัวอย่างเช่น Digital Prototype หรืองานออกแบบที่ทำใน Software
Low-Fidelity: รูปแบบของ Prototype ขั้นพื้นฐาน คล้ายกับโครงร่างของงานออกแบบ นิยมใช้เพื่อวัดผลในขั้นตอนแรกของงานออกแบบ ก่อนนำไปพัฒนาต่อตัวอย่างเช่น Prototype ประเภทกระดาษ หรือ การออกแบบ Wireframe บนโปรแกรมต่าง ๆ เช่น Figma หรือ Sketch เป็นต้น
ถ้าหากอยากทราบเนื้อหาเกี่ยวกับ Prototype มากขึ้นสามารถอ่านได้ที่นี่ https://www.blockfint.com/th/blog/differences-and-importance-of-low-fidelity-and-high-fidelity-prototype?fbclid=IwAR0oWMWpWWDrHHB9o0aG-ZYGWIKX7ZFEJNBfkE20VUzgxC1Z3EW7JPrnecY
1.ลดการใช้ทรัพยากรทางการเงิน เวลา และบุคคล
Usability Testing เป็นการทดสอบที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัยมากมายนัก และในบางครั้งทำผ่านออนไลน์ได้ โดยไม่ต้องเสียทรัพยากรมาก แต่ก็สามารถทำให้เราทราบผลทดสอบความยากง่าย และนำข้อมูลไปปรับปรุงหรือพัฒนา Product ของเราให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ถ้าเราพบจุดการใช้งานที่ยากเกินไปก็สามารถแก้ได้ก่อน โดยไม่เสียทรัพยากรมากเหมือนตอนเมื่อพบจุดบกพร่องเมื่อพัฒนา Product เสร็จแล้ว
2. มอบประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
หลายครั้งที่นักพัฒนาโปรดักคิดว่าสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา นั้นใช้ง่ายและดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ตัวเจ้าของ Product ทราบทุก Flows จนมองว่าใช้ง่าย หรือการมองจากมุมผู้สร้างเพียงอย่างเดียว จึงอาจจะทำให้ขาดความ Empathy ในส่วนของ Users มุมอื่นไป การทำ Usability Testing จึงทำให้เรามองเห็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ Users ต้องการ หรือจุดที่มีปัญหาในการใช้งานของ Product ของเราได้ชัดเจนขึ้น เพื่อนำไปพัฒนาให้เป็น Product ที่สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน
3. เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้นเพื่อวางแผนทำสินค้าและบริการเพิ่มเติมในอนาคต
การทำ Usability Testing เราสามารถนำข้อมูลที่ได้มาต่อยอดในการวางแผนพัฒนา Product ให้มีการใช้งานที่ง่ายขึ้นจากเดิม โดยนำผลข้อมูลจากการทดสอบมาช่วยตัดสินใจ และยังสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา Product ชิ้นต่อไปในอนาคตให้ใช้งานง่ายขึ้นอีกด้วย
4. สนับสนุนให้เกิดการแนะนำสินค้าและบริการ
เมื่อมีการทำ Usability Testing และนำข้อมูลที่ได้จากผู้ร่วมทดสอบไปพัฒนาให้ Product ของเรามีการใช้งานที่ง่ายขึ้น และเมื่อถึงคราวที่โปรดักของเรา Launch สู่ผู้ใช้ตัวจริง และเขามีประสบการณ์ที่ดีต่อโปรดักของเรา ย่อมแปลว่า เขาอาจจะเกิดการบอกต่อประสบการณ์ที่ดีนั้นให้กับคนอื่นด้วยนั่นเอง
จากที่กล่าวมาทุกคนคงเริ่มเข้าใจ Usability Testing มากขึ้นแล้ว ว่ามีผลช่วยให้ Product ของเราดีขึ้นอย่างไร จากนี้ไปก็อย่าลืมนำ Usability Testing ไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา Product เพื่อให้ได้ความสมบูรณ์แบบที่สุดกัน
ติดตามบทความเกี่ยวกับการวิจัยและออกแบบได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/unblockdesign
Instagram : https://www.instagram.com/unblockdesign
ทีมออกแบบของ Blockfint ที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัย วางแผน และออกแบบ Digital Products